ประสบการณ์เฉียดตาย ของ บ๊อบอาร์
|
Experience description:
ในขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนเรือที่แล่นอยู่กลางแม่น้ำซึ่งมีความลึกมากพร้อมกับคุณพ่อและเพื่อนคุณพ่อ ปรากฏว่า เรือเกิดพลิกคว่ำลง ผมว่ายน้ำไม่เป็น ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้สวมเสื้อชูชีพด้วย ผมดิ้นรนเต็มที่ขณะอยู่ในน้ำลึก และไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อและเพื่อนของคุณพ่อได้ และมีความกลัวที่จะจมน้ำตาย เมื่อผมลืมตาขึ้นมา ผมก็เห็นปลาสีขาวตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง ช่วยกระตุ้นให้ผมคลายความกังวลไปได้บ้าง ปอดของผมแน่นไปหมดและจำเป็นต้องระบายลมออกจากปอด มันยิ่งแน่นปอดทวีความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเนื่องจากผมหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอดมากขึ้นทุกทีๆ หลังจากนั้นสักครู่เดียว ผมก็หมดสติไป
สิ่งต่อไปที่ผมจำได้คือ ผมกำลังลอยตัวเหนือน้ำของแม่น้ำ ในขณะที่เรือกำลังคว่ำอยู่ ผมเห็นผู้ชายสองคนที่ท่าทางบ้าๆบอๆ จ้องมาที่ผม ผมรู้สึกงุนงงในเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะผมไม่มีความรู้สึก
ในความเจ็บปวด หรือ มีความกลัวใดๆในขณะนั้นเลย เพียงแต่ว่าผมยังคงลอยคออยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจเฉิบ มันก็น่าแปลกใจนะ ว่าทำไมผมจึงยังลอยคออยู่ในน้ำได้แต่มันก็ยังดีกว่าที่ต้องนอนจมอยู่ใต้น้ำ ผมสังเกตเห็นมีผู้หญิงอีก 2 คนที่อยู่บนฝั่ง (แต่เดิมไม่มีใครยืนอยู่บนฝั่งนั้นเลย) และผมก็ไม่รู้จักผู้หญิงทั้งสองคน
ผมรู้สึกสับสนและว่างเปล่ามาก ผมทั้งมึนทั้งงง ทุกอย่างดูมืดมิดและเงียบสงบไปทั้งหมด ผมเริ่มรู้สึกกลัวกับความว่างเปล่าเดียวดายขณะนั้นมาก ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และผมก็รู้สึกไม่ชอบในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ สักครู่ต่อมา ผมก็รู้สึกว่า ตัวผมกำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้อุโมงค์ ตอนแรกๆผมรู้สึกกลัวมากกว่าความว่างเปล่า แต่ต่อๆมาก็เริ่มรู้สึกชินและสบายขึ้นมากยิ่งเข้าใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งมีความสบายเพิ่มขึ้นอีก ผมก็ถามตัวผมว่า นี่ผมจะไปที่ไหนนะ
ผมพบว่า ผมกำลังอยู่ในพื้นที่ที่ผมรู้สึกสงบและสุขสบายมาก แสงสว่างนั้นก็ไม่ใช่แสงสว่างแบบธรรมดาทั่วๆไป ผมไม่เห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างนั้น เพียงแต่รู้ว่ามีแสงอยู่ตรงนั้น เป็นแสงที่มีความอบอุ่น และยินดีต้อนรับผมอย่างแน่นอน พลันก็เห็นผู้ชายสองคนอยู่ในบริเวณนั้น ผมรู้สึกว่า ผมดูเหมือนจะรู้จักผู้ชายทั้งสองคน พวกเขาดูเหมือนกับว่า เป็นญาติห่างๆของผม เพียงแต่ว่าผมจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใครจริงๆ พวกเขาแต่งตัวแบบที่พวกเราสวมใส่ในโลกนี้ พวกเราสนทนากันสักครู่ใหญ่ แต่ผมก็จำไม่ได้ว่า เราสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ผมถามพวกเขาว่า พวกเขาเป็นใครและขณะนั้นผมอยู่ที่ไหน ผมมีความรู้สึกว่า พวกเขาตอบคำถามของผมไม่ตรงคำถาม ตอบอย่างไม่ชัดเจน ผมรู้ว่า ผมกำลังก้าวข้ามมายังอีกมิติหนึ่ง เพราะเราคุยกันด้วยโทรจิต ไม่ต้องเอ่ยปากหรือมีเสียงออกมาจากปากของพวกเราเลย
ณ จุดนั้น ผมพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วชายคนหนึ่งก็ถามผมว่า “เราจะไปกันหรือยัง” ผมตอบกลับทันทีว่า “ยัง” ที่จริงผมต้องการพูดว่า “ผมต้องการพบคุณแม่ของผม ผมต้องการพบคุณแม่ของผม” ซึ่งแปลได้ว่า “ไม่เอา ผมไม่ไป ผมต้องการกลับบ้าน” ชายผู้นั้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมพูดแล้ว ก็ดูเหมือนว่า ไม่พอใจ ชายอีกคนหนึ่งก็กล่าวเสริมว่า “เขายังไม่ต้องการกลับไป เพราะเขายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย” ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดถึง ภารกิจนั้น หมายถึงอะไร
ผมก็ยังคงสงสัยถึงคำพูดที่ว่า เขายังต้องมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย นั้นหมายถึงอะไร พลัน ผมก็สังเกตเห็นแสงสว่างพุ่งแป๊ดออกมายังนัยน์ตาของผม ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและมันมีความหมายอย่างไร ผมเพียงแต่ตระหนักว่า ผมปิดตาตามสัญชาติญาณทันที และเมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่า ผมกำลังมองไปยังพระอาทิตย์เป๋งเลย ผมต้องขยี้ตา และมองไปยังรอบๆตัวผม และพบว่า ผมกลับลงมายังแม่น้ำอีกครั้งหนึ่ง ผมพูดกับตัวผมเองว่า “ผมไม่ต้องการกลับไปยังน้ำอีกแล้ว” ผมต้องการกลับไปยังสถานที่ที่ผมเคยอยู่ ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่ผมรู้ว่าผมไม่สามรถกลับไปยังสถานที่นั้นได้อีก ผมได้ตัดสินใจแล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้อีก ผมรู้สึกว่า ความกลัวตายได้หายไปหมดแล้ว ผมรู้สึกมีแรงกระตุ้นผม คอยผลักตัวผมอยู่ด้านหลังเพื่อให้สามารถลอยตัวอยู่เหนือน้ำได้ และผมก็เริ่มหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ผม “กลับ”มาได้อีกครั้ง ด้วยความกลัวว่า จะต้องอยู่ใต้น้ำไม่ใช่อยู่เหนือน้ำ และแล้วผมก็ลอยตัวไปขึ้นฝั่ง โชคดีที่ผมไม่ได้รับบาดเจ็บการการจมน้ำครั้งนี้เลย