ประสบการณ์เกี่ยวกับความตาย โดย ซีนา เอ็ม
|
Experience description:
ขณะนั้น ผมอายุ 16 ปี ผมกำลังขับรถยนต์ทางไกลไปพร้อมกับคุณพ่อ มีเพียงเราสองคนเท่านั้น เราคุยกันด้วยเรื่องสับเพเหระต่างๆตลอดทาง
ผมเล่าให้คุณพ่อผมฟังว่า ผมมี “ความฝันประหลาด” เกิดขึ้นมาหลายๆปีแล้ว และก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมความฝันดังกล่าวมันจึงตามผมมาจนถึงทุกวันนี้
ผมเล่าให้ท่านฟังว่า ผมกำลังเดินไปตามทางเดินของห้องโถงที่มีไฟสลัวๆอยู่และปลายทองก็มีประตูอยู่บานหนึ่ง โดยประตูนั้น กำลังเปิดแง้มๆอยู่ หลังประตูนั้น มีแสงสว่างนวลๆส่องด้านหลัง และเมื่อผมผลักบานประตูเข้าไปแล้ว ก็เห็นลานทุ่งกว้างเขียวขจีของต้นหญ้าปรากฏอยู่ภายหน้าของผม มีธารน้ำใสไหลผ่านใต้สะพานเล็กๆ ปลายสะพานตรงข้ามก็มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเขารู้จักผมดี เนื่องจากเขาเรียกชื่อเล่นของผมที่ใช้กันในหมู่คนสนิทด้วยกัน พวกเขาให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่นใจ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผมไม่รู้จักใครสักคนในกลุ่มคนเหล่านั้นเลย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม ถึงแม้ขณะนั้น ผมจะมีอายุเพียง 16 ปีก็ตาม ผมก็ยังอธิบายถึงลักษณะชายเหล่านั้น ได้ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งคุณพ่อผมก็บอกว่า บุคคลเหล่านั้นคือญาติพี่น้องของผมซึ่งได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ซึ่งคนเหล่านั้น เสียชีวิตก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก ผมไม่เคยได้เห็นหน้าตามาก่อน และไม่มีภาพถ่ายของญาติเหล่านั้นแม้แต่น้อยเลย
ขณะที่ผมค่อยๆก้าวเข้าไปในบริเวณนั้น แสงสีขาว ที่นวลสว่างจ้าก็ส่องออกมาเป็นลำแสงรูปไข่รอบตัวบุคคล เหมือนกันรังสีที่ปรากฏอยู่ของแต่ละบุคคลเปล่งความสว่างออกมา โดยที่ผมสามารถสัมผัสความ ปิตติ ความรักจากรังสีแสงนั้นได้ด้วยตัวผมเอง และเมื่อผมถอยหลังก้าวออกจากบานประตูนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่า มีเสียงเปล่งออกมาจากแสงสีขาวนวลนั้นว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า” แล้วบานประตูก็ปิดลง
พลันผมก็รู้สึกเศร้าเสียใจและเสียดายอย่างมากมาย มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเด็กชายที่มีอายุ 3 ปีในขณะนั้น ที่มีอารมณ์ร่วมในความเสียใจและเสียดายในขณะนั้น
เมื่อผมเล่าเรื่องความฝันของผมจบลง แล้วคุณพ่อของผมก็กล่าวกับผมว่า “มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อลูกได้ตายไปแล้ว” และอธิบายถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผมเป็นโรคหอบหืดอย่างเรื้อรังและรุนแรง
คุณพ่อผมได้กล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า ท่านรู้จักบุคคลต่างๆที่ผมพรรณนาในความฝัน ท่านบอกว่า ผม “ตาย” ไปแล้วประมาณ 45 นาที อันเนื่องจากหอบหืดที่รุนแรง โดยขณะนั้นผมมีอายุเพียง 3 ปี และที่ผมกลับฟื้นคืนมาได้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากนายแพทย์
เนื่องจากผมยังเป็นวัยรุ่น ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย ผมกลับตอบว่า “เป็นไปได้หรือ ผมตายจริงๆหรือ? คุณพ่อมั่นใจและแน่ใจหรือ” (แม้แต่ขณะนั้นจะเป็นปี คศ 1960 เราก็ยังไม่เชื่อว่า พ่อแม่ของเรารู้เรื่องเกี่ยวกับความตายเหล่านี้)
คุณพ่อผมตอบว่า “พ่อเองเคยเป็นนายแพทย์ในกองทัพสมัยสงครามโลก พ่อยืนยันว่า พ่อได้เห็นสภาพของลูกด้วยตาพ่อเอง และยืนยันว่า ลูกได้ตายไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อของผมได้กล่าวกับผมว่า ขอให้ผมอย่าได้ไปสอบถามหรือเซ้าซี้เรื่องนี้กับคุณแม่ของผมโดยเด็ดขาด และห้ามคุยเรื่องนี้อีกกับใครคนอื่นๆ ผมจึงไม่เคยคุยเรื่องนี้ให้คนอื่นๆฟังเลย เพียงแต่เก็บไว้เป็นประสบการณ์ในชีวิตของผมเท่านั้น
ผมและคุณพ่อก็ไม่เคยคุยเรื่องนี้อีกเลยเช่นกัน